วันพุธที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เมื่อเด็กๆโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่



สมัยเป็นเด็ก เด็กชาย ก. เป็นเด็กช่างสงสัย เขาสรุปทุกข้อสงสัยด้วยตัวเขาเองเขาได้พบความสัมพันธ์กับของหลายสิ่งในโลกซึ่งคล้ายกัน ในเมื่อหาคำอธิบายไม่ได้ ก็ทึกทักว่าเป็นเรื่อง "บังเอิญ"

บังเอิญว่า ประเทศไทย หนึ่งสัปดาห์มีเจ็ดวัน,หนึ่งปีมีสิบสองเดือน,หนึ่งเดือนมีสามสิบ หรือ สามสิบเอ็ดวัน และเรามีวันปีใหม่ตรงกับฝรั่ง

บังเอิญว่า การ์ตูนไทย มีมุขตลกคล้ายการ์ตูนญี่ปุ่น เลือกำเดาเมื่อเห็นภาพลามก เหงื่อตกที่หัวเมื่อเกิดอาการเซ็งๆ

บังเอิญว่า คำว่า จัง,คุง,โกะ,ซัง เมื่อเอามาตามหลังชื่อเล่นแล้วจะรู้สึกว่าน่ารัก (รวมทั้งคำพูดว่า ง่ะ,งุงิ,งับ,อิอิ,คริคริ ด้วย)

บังเอิญว่า วัยรุ่นไทย แต่งตัวแต่งหน้าคล้าย ฝรั่ง ญี่ปุ่น หรือเกาหลี ไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใคร(พบได้ใน hi5)

บังเอิญว่า เราดูหนังฝรั่ง หรือ หนังจีน จะสนุก และ เข้าใจง่ายกว่าหนังญี่ปุ่น

บังเอิญว่า มีเพลงไทยหลายเพลง ที่ทำนองเหมือนเพลงเมืองนอก

บังเอิญว่า ตำราเรียนของไทย คล้ายกับตำราเรียนเมืองนอก

บังเอิญว่า ฝรั่งก็ปลูกข้าวหอมมะลิ ได้เหมือน คนไทย

บังเอิญว่า เราดูหนังก็ต้องกินข้าวโพดคั่วเหมือนฝรั่ง

บังเอิญว่า ชื่อของคนอินเดีย คล้ายกับชื่อของคนไทย

บังเอิญว่า คนไทยก็เกลียด ลัทธิ "คอมมิวนิส" เหมือนคน อเมริกา (แล้วทำไม คนจีน กับ เกาหลีเหนือ เค้าไม่เกลียดล่ะ)

เมื่อโตขึ้นเขาก็ได้รู้ว่า... "ความบังเอิญ ไม่มีจริง"





เด็กหญิง ฮ. ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบสังเกตสิ่งรอบตัว แต่ไม่คิดแบบเด็กชาย ก.

เด็กหญิง ฮ. ชอบจะชื่นชม ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ ซะมากกว่า

เด็กหญิง ฮ. บอกว่า "ประเทศไทยเดี๋ยวนี้เจริญมาก"

ประเทศไทยเจริญมาก สังเกตได้จากมีคอมพิวเตอร์ใช้กันแทบทุกคน อีกหน่อย เด็กหญิง ฮ. อาจจะหิ้วโน๊ตบุ๊คไปเรียนแทนหนังสือ

ประเทศไทยเจริญมาก เพราะเด็กไทยฉลาด เด็กหญิง ฮ. และเพื่อนๆหลายคนรู้จักอินเตอร์เน็ต และติด UBC เห็นผู้ใหญ่บอกว่า มันเป็นสิ่งให้ความรู้

ประเทศไทยเจริญมาก เพราะมีรถทันสมัยหน้าตาสวยๆ เด็กหญิง ฮ. เห็นรถที่โชว์รูมข้างบ้าน ตรงกับ รถที่ออกใหม่ในอินเตอร์เน็ต

ประเทศไทยเจริญมาก คนไทยทุกคนมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆออกมาใช้ทุกวัน

ประเทศไทยเจริญมาก เด็กหญิง ฮ. มองเห็นตึกรามบ้านช่องที่ใหญ่โต สร้างขึ้นทุกวัน มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ มีถนนกว้างๆ และทางยกระดับที่เหมือนกันรถไฟเหาะ

ประเทศไทยเจริญมาก พ่อของเด็กหญิง ฮ. เป็นเกษตรกร ใช้ ควายเหล็ก รถไถ ปุ๋ยเคมี ในการปลูกพีช และพืชที่ใช้ปลูกนอกจากจะไร้เมล็ดแล้ว ยังป้องกันการกัดแทะของแมลงด้วย

ประเทศไทยเจริญมาก มีคนไทยโกอินเตอร์ไปทำงานที่ต่างประเทศ แล้วก็ยังมี คนต่างประเทศ มาลงทุนในไทยด้วย

เมื่อโตขึ้นเด็กหญิงฮ สงสัยว่า... "ประเทศไทยเจริญ จริงหรือ???"

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ซอย



+วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ฉันต้องเดินผ่านซอยเปลี่ยวนี้เพียงลำพังซอยดินลูกรังที่มืดสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ากก บริษัท ส่งของ รถพ่วงและ บ้านพักคนงาน กลางดึก เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงกบและจิ้งหรีด มีเพียงแสงไฟจากบ้านพักคนงานที่ห่างกัน หลังละสิบเมตร ที่ส่องนำทางให้ฉันก้าวย่างต่อไปข้างใน...

+ทำไมฉันถึงต้องเดินผ่านซอยนี้น่ะเหรอ คำตอบง่ายๆก็คือ มันเป็นทางผ่านทางเดียวที่จะไปยังบ้านของฉันได้ ซอยนี้เป็นซอยเชื่อมระหว่างถนนหน้าบ้านของฉัน กับที่ทำงาน ในตอนกลางวัน ผู้คนสัญจรผ่านซอยนี้มากมาย เป็นเรื่องปกติ รวมทั้งฉันด้วย แต่วันนี้ งานที่ออฟฟิศมันเร่งมากจน ฉันต้องเลิกงานดึก และ จำเป็นที่จะต้องเดินผ่านซอยนี้

+ฉันเดินก้าวขาอย่างช้าๆ ทุกก้าวย่างของฉัน เต็มไปด้วยความกลัว และ หวาดระแวง หนทางอันมืดมิดข้างหน้านั้น จะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ ใจของฉันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เรื่องราวลี้ลับที่ถูก ปู่ ย่า ตา ยาย เล่าให้ฟังสมัยฉันยังเด็ก ผุดออกมาเป็นดอกเห็ด สมองอันทรยศของฉันกำลังเรียบเรียงเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องราวที่น่ากลัวไปเรื่อยๆ ลมเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างของฉัน ทั้งที่เป็นช่วงหน้าร้อน แต่ฉันกลับขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ

+นี่ฉันคิดบ้าอะไรนี่!! ฉันพยายามรวบรวมสติ แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ สองตาของฉันมองเห็นแสงไฟ มีเงาตะคุ่มๆอยู่ไม่ไกล ถึงเขตบ้านพักคนงานแล้วเงาตะคุ่มนั้น หาใช่สิ่งลี้ลับไม่ หากแต่เป็น คนงาน ขนของและ ขับรถบรรทุกพวกเขาตั้งวง กินเหล้าขาว สังสรรค์กันหลังเลิกงาน เป็นประจำ แต่นี่ดึกมากแล้ว บางคนฟุบหลับไปกับโต๊ะ บางคนพูดจาเสียงยานคางฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันสังเกตว่าใน ณ เวลานี้ มีวงเหล้า ไม่ต่ำกว่า ห้าวง

+ทุกสายตาจ้องมองฉันเหมือนเป็นตัวปะหลาด ตอนนี้ฉันตกเป็นผู้หญิงคนเดียวกลางดงผู้ชายฉกรรณ์ ดุจดั่ง เนื้อในกรงเสือ สายตาที่จ้องมองฉัน ดูจะไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก ร่างกายอันกำยำ ผิวหนังมันวาวเมื่อกระทบแสงไฟ เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ฉันตัดสินใจ ก้มหน้า แล้วเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว ภาวนา อย่าให้เกิดอะไรร้ายๆกับตัวฉันเลย

+"จะไปไหนเหรอครับ" ฉันขนลุกเมื่อได้ยินเสียงนี้ แล้วหันไปมองเขาอย่างช้าๆ หัวใจเต้นรัว ดังราวกับฟ้าผ่า

"ผมจะไปตรงท้ายซอยพอดี ไปด้วยกันไหม" เขายิ้มอย่างเป็นมิตรใจของฉัน สับสนเป็นที่สุด คิดไตร่ตรองอย่างหนัก และจินตนาการเรื่องที่จะเกิดขึ้น

"ค่ะ!!! รบกวนด้วยนะคะ " และแล้ว ฉันก็ตัดสินใจติดรถไปกับเขา



+ฉันชวนเขาคุยระหว่างทาง เพื่อลดความตึงเครียด

"คุณเดินทางยามค่ำคืนในซอยเปลี่ยวแห่งนี้ไม่กลัวบ้างหรือคะ"

"กลัวอะไรล่ะครับ"

"อย่างเช่น โจร หรือว่า ผี " "ฉันผ่านทางนี้ เคยได้ยินมาบ้างว่า แถวนี้มี อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย เพราะถนนหนทางไม่ดี ซ้ำยังเป็นที่มืด"

"หึๆ ตอนแรกๆก็กลัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะครับ ผมเดินทางมาหลายปีแล้ว ถ้าผีมีจริง ก็คงต้องเจอแล้วล่ะครับ จะว่าไปแล้วคนยังน่ากลัวกว่าผีอีกนะครับ คุณว่ามั๊ยล่ะ"

"อืม ก็จริงของคุณ เมื่อกี้ฉันกลัวมาก ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าไม่ได้คุณคงแย่แน่ ขอบคุณนะคะ "

"ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย"

"เดี๋ยวถึงทางแยกข้างหน้า จอดด้วยนะคะ ถึงบ้านฉันแล้ว"

"ครับ"

+บ้านสองชั้น แสงไฟสลัวๆ ห้อมล้อมด้วยป่าสน เขาจอดรถส่งให้ฉันลง ฉันขอบคุณเขาอีกครั้ง แล้วมองดูรถของเขาจากไปจนลับตา แสงไฟท้ายรถสีแดงค่อยๆหายไปในความมืด ถึงซะที่ ฉันเดินไปยังที่หมาย ในใจคิดถึงคำพูดของเขา คนหรือผีกันแน่ที่น่ากลัวกว่ากันในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่เชื่อในเรื่องผี เขาไม่เคยเจอผี ฉันแอบหัวเราะในใจว่า นึกถึงใบหน้าคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีอย่างเขา ถ้าเจอผีแล้วจะเป็นอย่างไร ฉันเดินผ่านบ้านหลังนั้นไป มันไม่ใช่บ้านของฉัน......



+งานของผมจำเป็นต้องทำจนดึก ทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็ต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ ผ่านซอยแห่งนี้ จนชิน มันเป็นทางลัดทางเดียวที่จะไปถึงบ้านผมได้ใกล้ที่สุดมันเป็นทางเดียวที่การพักผ่อนของผมจะมีมากขึ้น

+ในความเงียบสงัดนั้น บรรยากาศรอบข้างช่างวังเวง มืดมิด มีเพียงแสงไฟหน้ารถ และไฟจากบ้านพักคนงานเท่านั้น ลมพัดป่ากก ปลิวสไวเป็นจังหวะ กระทบต้นคอผม มันเย็นจนผมสั่นสะท้าน หากผมเป็นคนขวัญอ่อน สติสตังคงแตกกระเจิงไปแล้ว แต่ในขณะนี้ผมง่วงเกินกว่าที่จะคิดเรื่องเหล่านั้น

+คนงานในระแวกนี้น่ากลัว และไม่เป็นมิตร ผมเคยได้ยินข่าวลือมาว่า พบศพหญิงสาวพนักงานออฟฟิศ ถูกฆ่า ข่มขืน และ ชิงทรัพย์ อยู่แถวๆป่าสนท้ายซอย ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือคนงานที่นี่ แต่ก็ยากที่จะจับมือใครดม เคราะห์ยังดีที่ผมยังมีรถมอเตอร์ไซค์ อย่างน้อยก็ซิ่งหนีพวกมันทันก็แล้วกัน

+ผมเจอหญิงสาวคนหนึ่ง วันนี้เธอเลิกงานดึก บ้านเธออยู่ตรงท้ายซอย ผมจึงอาสาพาเธอไปส่งที่บ้าน เพราะผมก็ต้องผ่านทางนั้นอยู่แล้ว อีกอย่าง การมีเพื่อนคุยระหว่างทางคงจะช่วยให้ผมหายง่วงได้บ้าง

+ระหว่างทาง เธอก็ชวนผมคุยแก้ง่วง เธอถามผมว่าเชื่อเรื่องผีไหม ผมว่ามันตลกสิ้นดี "ถ้าผีมีจริงผมคงเจอไปนานแล้ว" ผมตอบเธอย่างนั้น

+ผมส่งเธอลงที่หน้าบ้าน แล้วผมก็ขับรถออกมา ในใจครุ่นคิดว่า สถานการณ์อย่างนี้ ยังมีหลายอย่างที่น่ากลัวกว่าผีอีกหลายเท่านัก ไม่ว่าจะเป็นคนความมืด ความง่วง ตลอดจนถนนหนทางที่ง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้

+ทางข้างหน้าผมเป็นโค้งหักศอก แสงไฟหน้ารถ ทำให้ผมมองเห็นซากป้ายบอกทางที่หัก เพราะอุบัติเหตุ ธูป เทียนและของเซ่นไหว้ ที่วางอยู่ตรงพื้น ถ้าเลี้ยวซ้ายไปอีกไม่กี่สิบเมตร ก็จะถึงบ้านผม แต่ตอนนี้ผมต้องขับตรงไป.......

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เขายังไม่มา_(ฉบับนิยายภาพ)

cover4

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p01 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p02

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p03-04

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p05

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p06

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p07

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p08

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

p09

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สี่แยก



ณ สี่แยกแห่งหนึ่งตำรวจตั้งด่าน ตรวจใบขับขี่ เกิดปัญหารถติดยาวเหยียด หลายร้อยเมตร เสียงเครื่องยนต์ ท่อไอเสีย และแตรรถ ดังระงมไปทั่วท้องถนน ตำรวจทำงานกันอย่างขมักเม้น ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ อากาศร้อนระอุ แม้จะเป็นช่วงเวลาบ่ายสามโมงเย็นแล้วก็ตาม แต่ความร้อนของแสงแดดที่แผดเผา ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด คนขับรถหลายคน บ่นพึมพำ บางคนคุยโทรศัพท์ บางคนหัวเสีย พยายามบีบแตรรถ ให้ถี่ขึ้นอีก บางคนดูโทรทัศน์ ที่ติดตั้งในรถ บางคนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าการจราจรจะเริ่มคล่องตัว....




เรียงความเรื่อง "พ่อของฉัน"

โดย ด.ช. เสรี พิสุทธิ์ เลขที่ 1 ชั้น ป. 2/5

พ่อของผม เป็นตำรวจ เมื่อวานนี้หลังเลิกเรียน ผมเห็นพ่อทำงาน พ่อผมดูเท่มากบนท้องถนน ทุกคนเชื่อฟังพ่อ พ่อทุ่มเทกับการทำงานจนเหงื่อโชก ตั้งหน้าตั้งตาตรวจใบขับขี่อย่างขยันขันแข็ง พ่อบอกว่า ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ นี่เป็นหน้าที่ขอพ่อ เป็นงานที่พ่อรัก พ่อจึงทำไปโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ถ้าโตขึ้น ผมจะเป็นตำรวจแบบพ่อ




เรียงความเรื่อง "พ่อของฉัน"

โดย ด.ญ. ระเบียบ รัตน์ เลขที่ 24 ชั้น ป. 2/5

พ่อของหนูเป็นแมสเซนเจอร์ เมื่อวานพ่อรีบมารับหนูตอนเลิกเรียน และบอกว่าต้องรีบไปส่งของให้ลูกค้าต่อ แต่พอถึงสี่แยก รถก็ติด เพราะตำรวจตั้งด่านตรวจใบขับขี่ กว่าพ่อจะหลุดออกมาจากที่นั่นได้ ก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ไหนจะต้องไปส่งของอีก พ่อโดนลูกค้าต่อว่า พวกเขาก็ไม่ฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น พอกลับบ้าน การ์ตูนหรรษาที่หนูตั้งหน้าตั้งตาจะกลับมาดูก็จบลง หนูไม่ชอบพ่อเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อต้องทำงานแบบนี้ด้วย




เรียงความเรื่อง "พ่อของฉัน"

โดย ด.ช. เสริม สาคร เลขที่ 3 ชั้น ป. 2/5

เมื่อวานพ่อไม่ได้มารับผม แต่พ่อบอกว่า พ่อติดธุระด่วนมาก พ่อของผมเป็นบุรุษพยาบาล พ่อบอกอีกว่า เมื่อวานเป็นวันที่พ่อเสียใจอีกวันหนึ่ง พ่อบอกว่า พ่ออยู่ในรถพยาบาล ที่ต้องส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ระหว่างทาง รถติดมาก แทบไม่ขยับตัว คนไข้เกิดอาการช็อคขึ้นมากระทันหัน พ่อพยายามช่วยชีวิตเขา ด้วยการผายปอดและปั๊มหัวใจ เวลาผ่านไปเนิ่นนาน คนไข้ก็แน่นิ่งเหมือนเดิม ลูกและเมียของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ต่างกอดกันร้องไห้ พ่อก็รู้สึกเสียใจที่ช่วยชีวิตเขาไว้ไม่ได้ พ่อบ่นว่าถ้าตำรวจไม่ตั้งด่าน คนไข้รายนี้คงไม่เสียชีวิต เพราะที่โรงพยาบาล มีเครื่องมือพอที่จะช่วยเขาไว้ได้




เรียงความเรื่อง "พ่อของฉัน"

โดย ด.ช. ทัก สิน เลขที่ 8 ชั้น ป. 2/5

เมื่อวานเย็น พ่อมารับผม ระหว่างทางตำรวจตั้งด่าน ตรวจใบขับขี่ตำรวจบอกพ่อของผมว่า พ่อของผมทำผิดกฏจราจร ผมไม่รู้ว่กฏอะไร ตำรวจบอกว่าต้องเสียค่าปรับ 500 บาท แต่พอของผมคุยกับตำรวจ แล้วจ่ายเพียง 100 บาทผมทึ่งความสามารถของพ่อมาก พ่อบอกว่า ตำรวจเขาตั้งด่าน ก็เพราะเป็นการหารายได้พิเศษ เราสามารถต่อรอง ลดราคาได้




วันที่ 5 ธันวาคม 2550

วันนี้ในคาบเรียน ฉันสั่งให้เด็กเขียน เรียงความสั้นๆเกี่ยวกับพ่อของเขา ตอนแรกฉันจะให้เขาทำแบบฝึกหัดอย่างอื่น แต่ฉันเตรียมการสอนไม่ทันเนื่องจากเมื่อวานต้องกลับบ้านดึก พวกเขาเขียนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ฉันดีใจที่เด็กนักเรียนของฉันไม่ได้ลอกการบ้านกัน....

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เขายังไม่มา

+เธอยืนอยู่ตรงหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เธอคอยใครบางคน แต่เขายังไม่มา...


+ฝนลงเม็ดอย่างช้าๆ เธอหาที่หลบฝน เธอมองนาฬิกา


+การจราจรติดขัดกว่าที่เคยเป็น อาจเกิดอุบัติเหตุ ในถนนเส้นนี้ เธอกระวนกระวายใจ


+เขาทำงานอยู่ในระแวกนี้ เขาเป็นคนบ้างาน งานของเขาไม่มีเวลาเลิกงาน ที่แน่นอน บางทีตอนนี้เขาอาจทำงานอยู่ เธอพยายามโทรหาเขา แต่ไม่มีใครรับสาย


+เขาเป็นคนขี้หลงขี้ลืม วันนี้เขาอาจลืมเอาโทรศัพท์ออกมาจากบ้าน ทำให้เธอติดต่อเขาไม่ได้ หรือ อาจตั้งใจจะไม่รับสาย


+เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง...


+เกิดเหตุระเบิดที่ห้างสรรพสินค้าอีกแห่งหนึ่ง ไม่ไกลมากนัก ผู้คนแตกตื่น เขาอาจอยู่ที่นั่นและตกเป็นเหยื่อในเหตการณ์ หรือ เขาอาจเป็นคนวาง ระเบิดซะเอง หรือ เขาอาจไม่ได้อยู่ที่นั่นเลย


+เขาอาจกำลังเดินทางมาหาเธอ,เขาอาจประสบอุบัติเหตุ,เขาอาจนั่งทำงานอยู่แล้วลืมนัด,เขาอาจโดนระเบิด,เขาอาจอยู่โรงพยาบาล,เขาอาจหลบหนีตำรวจ


+เขาอาจอยุ่ที่ไหนสักแห่ง แต่ตอนนี้ "เขายังไม่มา...."



!!!หมายเหตุ!!! หากสงสัยหรือต้องการคำอธิบายเพิ่มเติ่ม คลิกที่นี่ http://gujakhean.blogspot.com/2008/06/blog-post.html

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เลือกที่จะ....



เด็กชาย ก อยู่คอนโด ชั้นสอง

เด็กชาย ก เลือกที่จะขึ้นลิฟท์กลับห้องทุกวัน

มีคนถามเด็กชาย ก ว่าทำไมไม่ขึ้นบันได

เด็กชาย ก ตอบว่า "ทำไมต้องเดินขึ้นบันได ทั้งที่คอนโดมีลิฟท์"




ดร.ข จบปริญญาเอกจากประเทศ อเมริกา

ดร.ข เลือกที่จะทำอาชีพทำนา ใช้ชีวิตเหมือน ชาวนาทั่วไป

มีคนถามดร.ข ว่าทำไมต้องมาทำนา

ดร.ข ตอบว่า "อยากเป็นชาวนามาตั้งแต่เด็ก ชอบอาชีพนี้มาก"




นาย ค เป็นเด็กเรียนเก่ง

นาย ค สอบได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มาทุกปี

นาย ค เลือกที่จะคณะศิลปะ ที่ต้องการเกรดเฉลี่ยรวมเพียง 2.00

มีคนถามนาย ค ว่าทำไมไม่ไปเรียน หมอ วิศวะ หรือ ทนาย

นาย ค ตอบว่า "ผมชอบที่จะเรียนศิลปะมากกว่า"




นางสาว ง เป็นคนหน้าตาดี หนุ่มหล่อมากมายพากันรุมจีบจนหัวกระไดบ้านไม่แห้ง

นางสาว ง เลือกที่จะคบ กับ นาย จ

นาย จ เป็นคนหน้าตาไม่ดี เรียนไม่เก่ง บ้านจน

มีคนถามนางสาว ง ว่าทำไมถึง คบกับ นาย จ

นางสาว ง ตอบว่า "ชอบที่ นาย จ เป็นตัวของตัวเอง"




นาย ฉ จบวิศวะคอมพิวเตอร์

นาย ฉ เลือกที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ เครื่องที่ประสิทธิภาพสูงที่สุดในยุคนี้ ราคานับแสนบาท

นาย ฉ เอาคอมพิวเตอร์มาใช้ แค่ พิมพ์งาน เล่นอินเตอร์เน็ท และ แชท กับเพื่อน

มีคนถามนาย ฉ ว่าทำไมซื้อคอมพิวเตอร์ที่ประสิทธิภาพสูงขนาดนี้

นาย ฉ ตอบว่า "แล้วทำไมต้องซื้อ ประสิทธิภาพต่ำ หรือ ปานกลาง ด้วยล่ะ"

!!!หมายเหตุ!!!หากสงสัยหรือต้องการคำอธิบายเพิ่มเติ่มคลิกที่นี่http://gujakhean.blogspot.com/2008/06/blog-post_12.html

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551

มั่ง-มี-ศรี-สุข



มั่ง คั่งร่ำรวย เงินทอง

มี ทรัพย์สินก่ายกอง ล้นฟ้า

ศรี ศักดิ์ดังแซ่ซ้อง กึกก้อง

สุข ใจร้องเรียกหา ไม่เห็นแม้เงา...




+โลกใบกลมๆใบนี้ หลายคนเลือกที่จะอยู่แนวหน้า มีหน้าตา มีเงินทอง เป็นที่ยอมรับของสังคม หลายคน ตัดสินใจ หันหลังให้สิ่งเหล่านี้ และ อีกหลายคน ที่ยังลังเลกับความต้องการของตนเอง


+ถ้าถามว่าคุณชอบอะไร? คุณอยากเป็นอะไร? เมื่อได้ยินคำถามนี้คุณอาจตอบได้ไม่ยาก แต่ถ้าให้ตัดสินใจ พวกคุณจะต้องล้งเล ทางที่คิดไว้จะไปได้สวยหรือเปล่า? ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว! มันเป็นไปไม่ได้หรอก! มีภาระที่ต้องดูแล! พันธนาการเหล่านี้จะค่อยๆผูกมัดคุณไปเรื่อยๆ จนดิ้นไม่หลุด


+หลายคนมองหาความมั่นคงในชีวิต แล้วความมั่นคงที่เรามองหานั้นคืออะไร บ้าน รถ ครอบครัว เงินทอง ?


+หากคุณต้องไปร่ำรวยอยู่ในที่ที่ไม่มีความสุข ที่ที่ไม่มีใครรัก ใครเข้าใจ ที่ที่ผู้คนแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัว ไร้เหตุผล คุณจะเลือกมันไหม?


+บางทีเราคิดว่าเงินทอง ชื่อเสียง ลาภยศ มันคือความมั่นคงในชีวิต แต่ร่างกายที่อยู่ภายใต้จิตใจที่อ่อนแอ ก็ย่อมอ่อนแอตามกันไปด้วย ไม่นานก็อาจพังทลาย แล้วอย่างนี้ ความมั่นคงในชีวิตของคุณคืออะไร?

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เสียดาย



+เราทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร!!! อดีตผู้จัดการหนุ่มรำพึงในใจ เขาเคยเป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกล ทำงานในบริษัทเอเจนซี่ชื่อดังระดับแนวหน้าของประเทศเขาเป็นคนขยันตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือ ข้องแวะกับอบายมุขต่างๆ เป็นคนดีในสังคมคอยช่วยเหลือผู้คนรอบข้าง ไม่เคยเอาเปรียบหรือเบียดเบียนใคร มีสมบัติของผู้ดีเพียบพร้อม เขายึดมั่นในคำสอนของพ่อ แม่ ครู อาจารย์ ที่สอนว่า คนดีในสังคมเป็นอย่างไร


+เวลาผ่านไปหลายปี เขาเติบโตมากับแนวคิดนี้และปฏิบัติมันอย่างสม่ำเสมอไม่มีขาดตกบกพร่อง เขาเชื่อว่าชีวิตมนุษย์คนเราทุกคนมีหน้าที่ มีเหตุการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตคล้ายๆกัน เขาลำดับกะเกณฑ์ชีวิตของเขาได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ต้องตื่นนอนแต่เช้า ตัดผมให้สั้นตามระเบียบ ต้องขยันเรียน ต้องเรียนให้สูงๆจะได้งานดีๆ ขยันอ่านหนังสือ สอบให้ได้คะแนนสูงๆ ต้องเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง จบแล้วต้องเรียนต่อสาขายอดนิยม เลือกทำงานที่ดีๆ เงินเดือนสูงๆ ต้องแต่งงานในตอนอายุไม่เกินสามสิบปี ซื้อบ้าน ซื้อรถ เลี้ยงลูก ทำธุรกิจ ร่ำรวย มีเงินเหลือกินเหลือใช้ เป็นที่รักของทุกคน ยามแก่เฒ่ามีลูกหลานคอยดูแล บางอย่างไม่เกิดขึ้นในเวลานี้แต่เขาพยามจะทำมันให้ได้ตามเป้าหมาย เขาเชื่อว่าทุกคนก็คงเป็นเหมือนๆกันเพราะเขาเห็นคนรอบข้างของเขาแต่ละคนก็ดำเนินชีวิตไม่ต่างกัน


+เขารังเกียจคนที่ไม่ได้เรียน คนหนีเรียน คนเที่ยวกลางคืน คนเรียนไม่จบ เขามองว่าคนเหล่านี้ไม่มีอนาคต ไร้ปัญญา การดำเนินชีวิตหลุดกรอบของสังคมเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเขา เขาคิดว่า คนเหล่านี้ คงไม่มีทางสำเร็จในชีวิต เป็นคนที่ทำตัวแปลกแยก


+การงานของเขาก้าวหน้าไปตามลำดับ เขาได้เป็นพนักงานดีเด่นสามเดือนซ้อนเงินเดือนและโบนัสเพิ่มขึ้นสูงอย่างเป็นประวัติการ เขาซื้อคอโดหรูกลางกรุงราคาหลายล้าน สวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพง ผู้คนต่างนับหน้าถือตา แผนการณ์ชีวิตของเขาเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ เขาควบคุมมันได้


+เขาพบรักรุ่นน้องสาวสวยที่ทำงานออฟฟิศเดียวกัน เขารักเธอมากทุ่มเททำงานเก็บเงินเพื่อสานฝันกับเธอ เขาทำโอทีทุกวันจนติดเป็นนิสัย เขาคิดถึงอนาคต ร่ำรวยเงินทอง ไม่ลำบาก มีลูกตัวเล็กๆ แล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุข


+วันนึงเขากลับจากออฟฟิศเร็วกว่าปกติ ซื้อเนื้อมาทำกับข้าว เขาอยากทำเซอร์ไพรส์เมียของเขาด้วยอาหารมื้อค่ำ


+วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ห้องปิดไฟมืดสนิท ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติ เขาได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากในห้องนอน เขาวางเนื้อแล้วเดินไปดู ประตูเปิดแง้มไว้ แล้วเขาก็ได้เห็นที่มาของเสียงนั้น เงาตะคุ่มๆอยู่ที่เตียง เป็นเงาของคนสองคน คนหนึ่งคือเมียของเขา แต่อีกคนเป็นชายที่ไม่รู้จัก ทั้งสองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เขาอึ้งไปชั่วขณะ มือของเขาคืบคลานไปกดสวิตซ์ไฟ


+เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น ทั้งสามคนต่างจ้องหน้ากันและกัน ทุกคนอยู่ในอาการตกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน.....




+หนึ่งเดือนต่อมา เขาออกจากโรงพยาบาล หมอบอกว่าอาการบาดแผลที่เกิดจากการโดนแทง ที่ท้องของเขาเริ่มสมานกันดีแล้วให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ เขากลับมาถึงบ้านที่พังระเนระนาดด้วยการต่อสู้ เขาจำเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ที่เขารู้คือเมียของเขาหนีตามชายชู้ไปพร้อมกับเงินบางส่วน แต่ก่อนไป เธอได้ฝากสิ่งหนึ่งไว้กับเขา สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เขาไม่ทราบว่าเธอจะรู้ตัวหรือเปล่าว่า "เธอติดเอดส์"


+เขากลับไปที่ทำงาน สายตาของทุกคนจ้องมองเขาไม่เหมือนอย่างเคย เขากลายเป็นตัวประหลาด เขาหาทางออกด้วยการพึ่งพา เหล้า และ บุหรี่ ความเครียดและความกดดันรุมเร้าจนเขาต้องลาออกจากงานในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เงินเก็บที่มีก็หมดไปกับค่ารักษาพยาบาลและค่าเหล้าบุหรี่


+เขานอนหมกตัวในบ้านทั้งวันทั้งคืน เขานอนรอความตาย ชีวิตเขาไม่เหมือนอย่างเคย ตื่นสาย ไม่ทำงาน ไม่มีเงินเก็บ เขาแปลกใจ ทั้งๆที่เขากะเกณฑ์ทุกอย่างไว้ตามขั้นตอน แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด ยิ่งคิดมากทำให้เขายิ่งถอดใจ


+ความว่างเปล่า การได้อยู่กับตัวเอง ทำให้เขาได้คิดอะไรได้บางอย่าง เขาคิดว่า คนเราก็คือสัตว์โลก สัตว์ที่ความต้องการหลัก ก็คือการมีชีวิตรอด ต้องกิน ต้องอยู่ ต้องสืบพันธุ์ สิ่งที่เราเป็น เราจินตนาการ เราถูกกำหนดกฎเกณฑ์ ทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่เราสมมุติกันขึ้นมาเอง ทำไมเราต้องตัดผมสั้น ทำไมเราต้องตื่นนอนแต่เช้า ทำไมต้องเรียนให้สูง ทำไมการกระทำบางอย่างที่ผิดแปลกจากคนส่วนใหญ่ถึงเป็นสิ่งผิด ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนที่เขาเคยรังเกียจ หรืออาจหนักกว่านั้น


+เขานั่งเงียบๆมองผิวหนังที่ตกสะเก็ดไม่มีคำคำใดที่เขาจะนิยามความรู้สึกที่มีอยู่ ณ เวลานี้ได้เท่าคำว่า "เสียดาย"

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ซ้ายหรือขวา



+เสียงผู้คนโห่ร้อง ประท้วงกันอึกทึก ไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะต้องการให้มันลงเอยอย่าง ไร จะเลือกทางซ้าย หรือ ทางขวา หาเหตุผลต่างๆนานาว่า ทางที่ตัวเองเลือกนั้นดีที่สุด




+หลายคนเลือกทางซ้าย หลายคนเลือกทางขวา คำถามก็คือ แล้วทางไหนมันดีที่สุด กันล่ะ เดินทางซ้ายแล้วจะดีกว่าทางขวาจริงหรือ จริงๆแล้ว ประเทศไทยล้วนผ่าน มือนักการเมือง หรือ ผู้ปกครองมาหลายยุคหลายสมัย ทั้งมีและไม่มีความสามารถ แต่ชะตาบ้านเมืองก็ดำเนินมาได้จนถึงทุกวันนี้อาจจะดูล้าๆลงบ้าง แต่ก็ยังเดินต่อไปได้




+ถ้าเปรียบประเทศไทย เป็นคนคนหนึ่ง หากว่าอวัยวะในร่างกาย ทำงานอย่างปั่นป่วน ไม่มีระบบ อวัยวะบางชิ้นก็พยายามก่อตัวเป็นเนื้อร้าย คอยขัดการทำงาน ของอวัยวะหลักที่สำคัญ สิ่งนี้จะเป็นสาเหตุให้คนๆนี้ตายเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น




+และถ้าประเทศไทยเป็นคนคนหนึ่งอีกเช่นเคย คนคนนี้ก็จะมีชะตากรรม ในศาสนา พุทธเคยมีคำสอนอยู่ว่า " สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม " คำพูดนี้ไม่ได้แปลว่าปล่อยไปตามเวรตามกรรม หากแต่อยากให้สร้างกรรมดีไว้ให้มากๆ




+หากทุกคนลดทิฐิลง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด สามัคคีกัน ประเทศไทยคงจะเดิน ไปข้างหน้าได้อีก ไม่ว่าจะทางซ้าย หรือ ทางขวา ก็ย่อมเดินได้ อุปสรรค เป็นของที่ มากับทางเดิน ไม่มีทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีทางใดที่ดีที่สุด มีแต่การประคับ ประครองให้เดินไปตามทางให้ดีที่สุด อย่างมีสติ และรู้ตัวอยู่เสมอ




+ผมไม่ได้อยู่ฝั่งซ้าย หรือ ฝั่งขวา ไม่ได้สนับสนุน หรือ ขับไล่ไป ไม่มีความรู้ความ สามารถถึงขั้นวิเคราะห์เจาะเกมได้ แต่สามารถรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้



+บางทีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ก็คือการ "หัดอยู่นิ่งๆซะบ้าง".....

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ฉันคือ...เครื่องเล่นดีวีดี

+หลายคนต้องการตัวฉัน เหตุผลเพราะว่า ฉันทำให้เขาได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่เขาสนใจ แต่สิ่งที่เค้าสนใจนั้น ไม่ใช่ตัวฉัน หากแต่เป็นสิ่งหนึ่งที่เขานำมาใส่ในตัวฉัน เขาบอกให้ฉันแปลรหัสความคิดของเจ้าสิ่งนั้นให้เขาดู เจ้าสิ่งนั้นก็คือแผ่นดีวีดีนี่เอง



+ฉันเป็นเหมือนกับร่างทรง เป็นเพียงตัวหุ่นที่ไร้วิญญาณ เมื่อใครสนใจจะพบปะใคร ก็นำวิญญาณของคนนั้นมาใส่ในร่างฉัน แล้วฉันก็พยายามทำให้เค้าได้สัมผัสกับวิญญาณนั้น



+เด็กผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ต่อหน้าฉัน ฉันรู้สึกแย่และอยากปลอบใจแต่เมื่อหนังจบ เธอดึงแผ่นออกมาแล้วก็ต่อว่าเจ้าแผ่นดีวีดีบ้านั่นแต่แล้วเธอก็เอามันมาดูกับตัวฉันแล้วก็ร้องไห้อีก เธอเป็นอะไรกับไอ้แผ่นบ้านี่กันนะ



+เด็กวัยรุ่นอีกคนหนึ่ง จ้องมองฉันด้วยกิริยาทึ่งและศรัทธา เวลาผ่านไปสองชั่วโมงเขาก็กดแผ่นออก และ กล่าวชมในแนวคิดของเจ้าแผ่นดีวีดีนี้ อย่างเป็นบ้าเป็นหลัง



+ผู้คนก็พยายามเก็บสะสมแผ่นดีวีดีส่วนตัว หาซื้อหรือหาเช่าสิ่งที่เขาต้องการ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถดูแผ่นนั้นตรงๆได้ แล้วนั่นก็คงต้องเป็นหน้าที่ของฉันอีกตามเคย ฉันเหนื่อยและท้อเต็มที ที่ต้องเป็นแบบนี้



+หลายครั้งที่ฉันอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกให้ผู้คนรู้ แต่ฉันก็ทำสิ่งนั้นด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันเป็นเพียงแค่คนกลาง คนกลางที่ถ่ายทอดรหัสความคิดจากแผ่นดีวีดี แล้วแปลงสัญญาณให้ทีวีบอกกล่าวความคิดนั้นไปสู่ผู้ชม



+ทีวีเพื่อนสนิทของฉันมันก็อาภัพพอๆกัน แต่อย่างน้อยมันก็บ่งบอกความเป็นไปของตัวมันเองให้ผู้คนรับรู้ได้ มันรับสัญญาณและ"ถ่ายทอด"ออกมาได้



+ฉันเคยดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการ ได้แต่หวังสักวันว่า ฉันคงต้องถ่ายทอดสิ่งที่เป็นตัวฉันให้ผู้คนรับรู้บ้าง แต่ตอนนี้ ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้ยากเต็มทน ฉันไม่มีความสามารถแบบนั้น มันผิดตั้งแต่แรก ผิดที่ฉันเกิดมาเป็นเครื่องเล่น แผ่นดีวีดีผลิตออกมาใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่สดใหม่ ในขณะที่สภาพเครื่องของฉันนั้นผุพังไปตามกาลเวลา



+ท้ายนี้ถึงฉันบ่นอะไรไปก็คงมีแต่จะน่ารำคาญ เปล่าประโยชน์ ฉันเกิดเป็นเครื่องจักร ถึงมีความต้องการจะเปลี่ยน แต่ฉันก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อย ฉันก็ยังมีความสำคัญ ถึงคนจะไม่รัก และ ศรัทธาในตัวฉันเท่าแผ่นดีวีดี หรือ ทีวี แต่ฉันก็ยังมีหน้าที่ที่ต้องทำ และจะทำมันให้ดีที่สุด ก็เพราะฉันเป็น "เครื่องเล่นดีวีดี"

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

กำแพง



+ศิลา นักโทษที่ถูกจองจำอยู่ในเรือนจำพิเศษ หัวของเขาครุ่นคิดถึงโลกภายนอกตลอดเวลา จินตนาการถึงอิสระภาพที่เขาจะได้รับจากการออกไป อย่างกระจ่างชัด โลกแห่งอุดมคติที่ไม่ต้องถูกจองจำ เขาติดอยู่ในคุกแห่งนี้นานเท่าไหร่จำไม่ได้เสียแล้ว แต่มันนานพอที่จะทำให้เขาลืมอตีตที่เคยอยู่นอกกำแพงได้อย่างหมดจด




+เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการ แผนการหลบหนี และ ใช้ช้อนเหล็ก ขูดผนังทีละนิดๆ ขนเศษอิฐไปทิ้งทุกเช้า จนบัดนี้ จากรูเล็กๆ ได้กลายเป็น อุโมงค์ลึก และกว้างพอสำหรับที่เขาจะมุดออกไปนอกห้องขังยามวิกาลได้




+หลังจากการวางแผนได้เสร็จสิ้นลง คืนนี้เป็นคืนที่เขาตัดสินใจที่จะหนีออกไปจากนรกแห่งนี้เสียที หลังจากสะเดาะโซ่ตรวนได้ เขาเริ่มมุดเข้าไปในอุโมงแคบๆที่เขาได้ขุดไว้ แล้วคืบคลานไปทีละนิดๆ ในหัวของเขาตอนนั้น มีความหวังที่จะสัมผัสกับโลกในอุดมคติที่เขาจินตนาการไว้ เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น การคืบคลานไปอย่างช้าๆนั้น กว่าจะถึงจุดมุ่งหมายแรกก็ใช้เวลานับชั่วโมง




+เมื่อถึงจุดหมายแรก เขาก็พบกับห้องที่มีกำแพงสูงท่วมหัว พร้อมกับเส้นทางที่คดเคี้ยวราวกับเขาวงกต เขาตัดสินใจเดินย่องอย่างเงียบๆ เพราะกลัวว่าผู้คุมจะยินเสียงแล้วการหนีครั้งนี้จะจบลง เขาเบียดตัวกับผนัง และแทรกตัวไปในเงามืดอย่างช้าๆ ด้วยการวางแผนที่รัดกุม บวกกับความชำนาญพื้นที่ของเขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถพ้นจากจุดนี้ได้ แต่เรื่องมันคงจะจบลงได้ง่ายกว่านี้ ถ้าหากว่าเขา ไม่โดนตะปูที่ผนังเกี่ยว จนผ้าขาดวิ่น ด้วยความบังเอิญ ผู้คุมนายหนึ่งได้สังเกตเห็นมันเข้า และได้แจ้งกับหัวหน้าเรือนจำ จึงมีการตรวจสอบตัวนักโทษ และบัดนี้ ทางเรือนจำได้ล่วงรู้ถึงการหายตัวของเขาเสียแล้ว




+เสียงสัญญาณดังขึ้น ผู้คุมวิ่งกันจ้าละหวั่น ไฟทุกดวงได้ถูกเปิด ภาพเรือนจำพิเศษในตอนนี้ สว่างราวกับกลางวันศิลาตกใจมาก แต่ไม่มีใครที่จะพรากความหวังของโลกภายนอก โลกในอุดมคติที่เขาใฝ่ฝันนี้ไปได้ เขาสังเกตว่าขณะนี้มีลมเป่าหัวของเขาอยู่ เมื่อแหงนมองขึ้นไปก็ได้เห็นช่องแอร์ที่อยู่เหนือหัวของเขา....




+ความมืดปกคลุมไปทั่วช่องแคบๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ เสียงหายใจหอบเสียงหนึ่งได้คืบคลานอย่างช้าๆและตื่นเต้น สายตาคู่หนึ่งได้สอดส่องลอดทะลุ ช่องระบายอากาศออกมา สังเกตท่าทีของผู้คุมที่อยู่ภายนอก ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือผู้คุมสองนายยังกวาดสายตามองออกไปรอบๆ อย่างไม่ลดละ







+สายลมพัดอย่างแผ่วเบา น้ำทะเลสีฟ้าใส คลื่นลูกโตๆถูกพัดเข้าชายฝั่งเป็นจังหวะ พร้อมกับร่มเงาใต้ต้นมะพร้าวที่เย็นพอที่จะหลบแสงแดดอันร้อนแรงในตอนบ่ายได้ ศิลาได้นอนซดน้ำมะพร้าวน้ำหอมอย่างสบายใจ คิดในใจว่า ถึงเขาจะจำเรื่องราวเก่าก่อนของเขาไม่ได้แล้ว แต่ก็จะปักหลักอยุ่ในที่แห่งนี้ ดินแดนสวรรค์ที่เขาจินตนาการมาตลอด เขาหลับตาอย่างช้าๆรับลมแผ่วๆที่พัดเข้าชายฝั่ง ความมืดทวีค้นเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้ง รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความปะหลาดใจทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา และได้พบว่า ตัวเองยังหลบซ่อนตัวอยู่ในท่อแอร์ ในคุกพิเศษ...




+โชคเหมือนจะเข้าข้างศิลา เมื่อตอนนี้ผู้คุมทั้งสองนาย ได้หายไปจากบริเวณนี้แล้ว เขาค่อยๆหย่อนตัวลงมาจากท่อแอร์ และลัดเลาะไปยังเส้นทางที่วางแผนไว้อย่างระวัง เขาผ่านจุดนี้มาได้แล้ว ภาพในอุดมคติของเขาใกล้จะเป็นความจริงขึ้นมาอีกหนึ่งก้าวแล้ว




+ท่ามกลางความมืด เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต กระโจนข้ามขดลวดหนามที่ได้วางเป็นแนวกันไว้ ทีละขดๆ ในใจของเขาเต้นดังราวกับเสียงกลอง เขาเห็นกำแพงสูงตระหง่านตรงหน้า ทำแพงที่เมื่อเขาข้ามมันไปได้ ก็จะพบกับสวรรค์ที่เขาฝันถึง แต่เขาก็ต้องรีบเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อเขาได้ยินเสียงของ สุนัข และผู้คุมตามมาข้างหลังไกลๆ พวกเขารู้ตัวแล้วว่าเขาออกมาได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาวิ่งไปหลบในมุมมืดข้างกำแพงสูง ในหัวปั่นป่วน หาทางหนีรอดออกจาก จมูกของสุนัขเหล่านี้ เคราะห์ดี ฝนได้ตกลงมาในตอนนี้ราวกับฟ้ารั่ว หนึ่งในแผนที่เขาคาดคะเนไว้ ตอนแรกเขาเกือบจะหมดหวังกับดินฟ้าอากาศอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ถือว่าเทวดายังเห็นใจ เขาปีนกำแพงอย่างทุลักทุเล ด้วยฝนที่ตกนั้น อีกทั้งยังต้องหลบแสงไฟที่สาดส่องข้ามหัวไปมาอีกด้วย




+และแล้ว เขาก็ปีนขึ้นมาถึงขอบกำแพงได้ เขามองออกไปข้างหน้าก็พบว่าภาพทะเลที่เป็นอุดมคติของเขานั้นอยู่ไกลออกไป เมื่อเขามองเห็นกำแพงที่สูงใหญ่กว่าที่เขายีนอยู่นี้อยู่ชั้นนอกอีกสองชั้น เขายืนอึ้ง ตัวสั่น และชาไปทั้งตัว....



+ทุกอย่างขาวโพลน ตัวของเขาเบาหวิว หูของเขาอื้ออึง และ รู้สึกชาไปทั้งตัว หลังจากภาพสีขาวโพลนได้จางหายไปตอนนี้สิ่งที่อยู่เบื่องหน้าเขา ระยะห่างไม่ถึงหนึ่งศอก ก็คือพืนหญ้าที่แฉะไปด้วยน้ำและโคลน ตัวของเขายับไม่ได้ หลังของเขาสึกเจ็บ "เขาถูกยิง" ร่างของเขากำลังจะปะทะกับพื้นหญ้าข้างล่างนั่น เวลาเพียงเสี้ยววินาทีนั้น ความคิดทุกอย่างในชีวิตที่เขาพอจะจำความได้ ได้พรั่งพรูออกมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวอยู่ตรงหน้าเขา เขารู้สึกเหมือนลอยอยู่ในอากาศอย่างช้าๆ ก่อนที่ร่างกายจะปะทะพื้นทะเลสีฟ้าใส

หาดทราย แสงแดด ต้นมะพร้าว และสายลม




+ทุกอย่างดับวูบไปราวกับปิดสวิตซ์ไฟ ร่างของเขากระแทกพื้นอย่างจัง กระดูก คอ แขน และซี่โครง หัก เขากำลังจะตาย เสียงสุนัขและผู้คุมวิ่งใกล้ตัวเขาเข้ามาทุกทีๆ สติที่กำลังจะดับวูบอยู่นั้น ได้รับรู้ว่า หลังจากที่ได้ฝ่าฟันมาเนิ่นนานและลำบาก อุปสรรค แล้ว อุปสรรคเล่าได้โผล่ออกมาอย่างไม่รู้จักจบสิ้น ถึงเขาจะมีแรงกำลังที่พอจะวิ่งไหว ก็ต้องเจอกับอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าอีกมากมาย นี่ คงเป็นจุดจบ จุดจบที่เขาไม่ต้องดิ้นรนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว ...




แล้วสติอันเลือนลางนั้นก็ได้ดับลงอย่างไม่มีวันที่จะติดขึ้นอีก........


วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

นรกที่หนีไม่พ้น

โลกปัจจุบันหมุนไปอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งรอบตัวเราสามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ราวกับความฝัน เราใส่ใจกับทุกอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว แต่ สิ่งที่เราขาดการเอาใจใส่ก็คือ จิตใจของเราเอง....



ชีวิตของคนเรานั้นมีแต่เพียง เกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างนั้นหรือ ทำไมคนบางคน ปฎิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่คนบางคนขอแค่เวลาเพียง
เสี้ยววินาทีที่ต้องการที่จะมีลมหายใจอยู่ ชีวิตคืออะไร...? มีคุณค่าแค่ไหน...? บางทีคำตอบของสิ่งนี้อาจไม่มีข้อใดถูก ขึ้นอยู่กับ ความพึงพอใจของเจ้าของชีวิตนั้นๆ ....




สิ่งใดในโลกนี้ ที่จะบ่งบอกได้ว่า เป็นที่น่าพึงพอใจน่ะหรือ ท้ายที่สุดแล้ว คนเราต้องการสิ่งใด เงินทอง ความรัก ชื่อเสียง หรือการมีชีวิตรอด




มีตำราหลายเล่ม ที่บอกว่าคนเป็นสัตว์ที่ประเสริฐกว่าพวก หมู หมา กา ไก่ บางตำราอ้างว่า เกิดจากการรทำบุญแต่ชาติปางก่อน ทำไมเราไม่คิดบ้างว่า การที่ได้เกิดมาเป็นคนนั้น เป็นทุกข์อันใหญ่หลวงที่ต้องทนอยู่กับความสับสนวุ่นวายในโลกแห่งนี้ บางที่ ภาพของนรกที่บรรพบุรุษเราได้สมมุติขึ้นมานั้น อาจไม่ได้ห่างไกล เลย หากแต่ มันคือโลกที่เราอยู่ทุกวัน ซึ่งมีจิตใจของเรา เป็นดั่งพญามัจจุราชที่คอยทรมานตัวเราให้ทุกข์ร้อนแสนสาหัสนั่นเอง ....




+++ปล.ช่วยพาผมออกไปจากนรกแห่งนี้เสียที++++

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

ทุ่งดอกไม้ทางเลือก



+ สุดา เด็กสาววัย 18 ปีได้ตื่นขึ้นมา กลางทุ่งดอกไม้แห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มีดอกไม้สวยงาม แปลกตา และมีหลากหลายพันธุ์ เต็มไปหมด เธอจำไม่ได้เลยว่าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร ทุ่งดอกไม้แห่งนี้ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

+เมื่อมองไปรอบๆ เธอก็ได้เห็นว่า ยังมีคนอื่นๆ อยู่ในทุ่งแห่งนี้มากมายไปหมด ทุกคนล้วนสาละวนอยู่กับการดึงดอกไม้ เธอยังสังเกตได้อีกว่า ดอกไม้ที่นี่นั้น ดอกไม้ในทุ่งแห่งนี้มี ดอก ผล หลายแบบ แทบไม่มีต้นใดซ้ำกันเลย แต่ ส่วนลำต้นของมันนั้น จะมีลักษณะที่คล้ายกัน คือจะมีหนามเล็กๆเต็มไปหมด บางพันธุ์ เป็นก็ไม้เลื่อย ที่ลำต้นพันกัน ยุ่งเหยิงพัลวันไปหมด และผู้คน ที่ดึงต้นไม้เหล่านั้น ต่างทำหน้าตาที่แสดงถึงความเจ็บปวด ทรมานเป็นอย่างมาก บางคนถึงกับสลบไป บางคนก็เดินหนีจากดอกนั้น เพื่อที่จะไปดึงดอกใหม่สุดางุนงง และ สงสัยว่า คนเหล่านั้นดึงดอกไม้พวกนั้นไปทำไม

+แล้วโชคก็เข้าข้าง สุดาพบหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินผ่านมา ในมือของเธอถือดอกไม้อยู่ 1 ต้น สุดาจึงเดินเข้าไปถามเธอถึงสาเหตุ และ ข้อสงสัยต่างๆ หญิงวันกลางคนได้อธิบายให้ฟังว่า ทุ่งดอกไม้แห่งนี้มีชื่อว่า “ ทุ่งดอกไม้ทางเลือก ” กล่าวกันว่า ในการเดินทางจากหมู่บ้านไปยังเมืองหลวงนั้น จะต้องเดินทางผ่านทุ่งดอกไม้แห่งนี้ และที่แห่งนี้ จะมีดอกไม้ที่เกสรของมัน มีฤทธิ์หลอนประสาท หากสูดดมเข้าไปแล้ว จะงุนงง จำอะไรไม่ได้ และจะไม่สามารถเดินออกไปจากสวนแห่งนี้ได้เลย มีทางเดียวเท่านั้นที่จะออกไปจากสวนแห่งนี้ได้ก็คือ ต้องดึงต้นไม้แล้วนำรากของมันมากินแก้พิษ จากนั้นก็จะสามารถเดินออกจากทุ่งแห่งนี้ไปได้เอง เราจะสามารถดึงต้นไม้ต้นไหนก็ได้ แต่หากดึงต้นที่ ไม่เหมาะกับตัวเอง ร่างกายก็จะทนพิษของต้นไม้ตนนั้นไม่ได้ เพราะพิษของแต่ละดอกนั้นแตกต่างกันบางคนถึงขั้นพิการไปเลย เมื่อพูดจบหญิงวันกลางคนก็ได้กินรากของดอกไม้ในมือนั่นแล้วเดินจากไป สุดาฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เธอรู้แต่เพียงว่า ต้องดึงต้นไม้ต้นที่เหมาะกับตัวเองขึ้นมาแล้วกินรากของมันเสีย แต่ทุ่งแห่งนี้มีดอกไม้เยอะเหลือเกิน ต้นไหนๆก็น่าดึงไปซะหมด สุดาบ่นพึมพำพร้อมกันเดินไปตามทางของทุ่งแห่งนั้น แล้วเธอจึงตัดสินใจดึงต้นไม้ที่อยู่ข้างๆมือเธอเนื่องจากเธอขี้เกียจเดินแล้ว ดอกไหนก็เหมือนๆกัน แต่ทันทีที่มือเธอได้สัมผัสกับลำต้นของดอกไม้นั่น เธอก็ชาไปทั้งตัว มีอาการตาลาย แล้วเธอก็หมดสติไป

+พอฟื้นขึ้นมาอีกรอบ เธอได้เห็นความน่ากลัวของการดึงต้นไม้ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง เธอจึงเดินหาต้นใหม่ แล้วเธอก็เจอกับต้นไม้อยู่พุ่มหนึ่ง มีดอกไม้ที่สวยงานและหอมหวล เธอคิดว่าดอกไม้พุ่มนี้แหละที่เธอจะเด็ดมัน แต่มันมีอยู่หลายต้น ไม่รู้ว่าจะดึงต้นไหนดี

+เธอจึงเลือกดึงดอกซ้ายสุด เธอพบว่าร่างกายของเธอสามารถทนพิษของดอกไม้ต้นนี้ได้พอสมควร เธอดีใจมาก แต่เมื่อออกแรงดึง ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทนไม่ไหว เธอจึงเลิกดึงแล้วมาดึงต้นถัดมา เธอก็พบว่าพิษของดอกไม้แต่ละต้นจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แต่พอ ออกแรงดึง พิษของมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทนไม่ไหว...

+เวลาผ่านไป สุดาดึงดอกไม้ในพุ่มนั้นครบทุกต้น แต่เธอก็ไม่สามารถดึงดอกไม้ดอกไหนได้เลยแม้แต่ดอกเดียว เธอท้อใจแล้วนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างพุ่มไม้ เธอครุ่นคิดว่า “ทำไมดอกไม้ที่มีดอกสีสวยงามแปลกตา มีกลิ่นหอมหวลนั้น จะต้องมีลำต้นที่มีพิษร้ายแรงแบบนี้ด้วย และไม่ว่าจะเป็นดอกไหนๆก็มีพิษที่สร้างความเจ็บปวด ด้วยกันทั้งนั้น”

+ระหว่างที่เธอกำลังหมดอาลัยตายอย่างอยู่นั้น เธอก็ได้เห็นชายชราคนหนึ่งที่เดินไปเดินมาหาดอกไม้ที่ที่เขาจะดึงไปรอบๆ แต่เขาก็ยังหาไม่เจอเลย และเขาก็แก่มากแล้ว ยิ่งแก่ก็ยิ่งลำบาก บางทีเขาอาจตายอยู่ในทุ่งแห่งนี้ก็เป็นได้ สุดากลัวที่จะเป็นแบบชายชราคนนั้นแล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เธอหันหน้ากลับไปที่พุ่มไม้นั่น แล้วมองดูดอกไม้ต้นที่เธอชอบที่สุด แล้วคิดว่ายังไงก็จะต้องดึงต้นนี้ให้ได้ ว่าแล้วเธอก็พยายามที่จะดึงมันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่กลัวความเจ็บปวด

+หลายวันผ่านไป เธอได้พบว่า ร่างกายของเธอ สามารถที่จะทนพิษนั้นได้ทีละนิดๆ ถึงวันนี้เธอรู้สึกว่ามันไม่เจ็บแล้ว “ นี่คงเรียกว่าภูมิคุ้มกันสินะ” เธอกล่าว พลางดึงดอกไม้อย่างสุดแรงจนหลุดออกมาเธอดีใจมากแล้วเธอก็รีบนำรากของมันมากิน แล้วเธอก็หมดสติไปอีกครั้ง...

+เมื่อเธอได้สติอีกทีก็พบว่าเธอยืนอยู่ตรงหน้าประตูของเมืองหลวงแล้ว เธออึ้งไปชั่วครู่ “และแล้วเราก็ทำสำเร็จจนได้” เธอคิดในใจ เธอเดินเข้าไปในเมืองอย่างตื่นเต้นและดีใจกับการต้อนรับของชาวเมืองหลวง แต่มีเรื่องนึงที่เธอยังข้องใจเล็กน้อย ...............

+เพื่อคลายความสงสัย เธอจึงได้ถามกับยามเฝ้าประตูว่า เธอมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ยามเฝ้าประตูบอกกับเธอว่า “ผู้ใดที่ได้กินรากของดอกไม้ในทุ่งดอกไม้ทางเลือกแล้วจะหมดสติ แต่จะสามารถเดินมายังเมือหลวงได้ด้วยสัญชาติญาณของตัวเองทุกคน แล้วจะมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถึงประตูเมืองหลวงแล้ว".......


วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2551

มนุษย์เราเอ๋ยเกิดมาทำไม


มนุษย์เราเอ๋ยเกิดมาทำไม

นิพพานมีสุขอยู่ใยมิไป

ตัณหาหน่วงหนักหน่วงชักหน่วงไว้

ฉันไปมิได้ตัณหาผูกพัน

ห่วงนั้นพันผูกห่วงลูกห่วงหลาน

ห่วงทรัพย์ศฤงคารจงสละเสียเถิด

จะได้ไปนิพพานข้ามพ้นสามภพ

ยามหนุ่มสาวน้อยหน้าตาแช่มช้อย

งามแล้วทุกประการแก่เฒ่าหนังยาน

แต่ล้วนเครื่องเหม็นเอ็นใหญ่เก้าร้อย

เอ็นน้อยเก้าพันมันมาทำเข็ญ

ให้ร้อนให้เย็นเมื่อยขบทั้งตัว

ขนคิ้วก็ขาวนัยน์ตาก็มัว

เส้นผมบนหัวดำแล้วกลับหงอก

หน้าตาเว้าวอกดูน่าบัดสี

จะลุกก็โอยจะนั่งก็โอย

เหมือนดอกไม้โรยไม่มีเกสร

จะเข้าที่นอนพึงสอนภาวนา

พระอนิจจังพระอนัตตา

เราท่านเกิดมารังแต่จะตาย

ผู้ดีเข็ญใจก็ตายเหมือนกัน

เงินทองทั้งนั้นมิติดตัวไป

ตายไปเป็นผีลูกเมียผัวรัก

เขาชักหน้าหนีเขาเหม็นซากผี

เปื่อยเน่าพุพองหมู่ญาติพี่น้อง

เขาหามเอาไปเขาวางลงไว้

เขานั่งร้องไห้แล้วกลับคืนมา

อยู่แต่ผู้เดียวป่าไม้ชายเขียว

เหลียวไม่เห็นใครเห็นแต่ฝูงแร้ง

เห็นแต่ฝูงกาเห็นแต่ฝูงหมา

ยื้อแย่งกันกินดูน่าสมเพช

กระดูกกูเอ๋ยเรี่ยร่ายแผ่นดิน

แร้งกาหมากินเอาเป็นอาหาร

เที่ยงคืนสงัดตื่นขึ้นมินาน

ไม่เห็นลูกหลานพี่น้องเผ่าพันธุ์

เห็นแต่นกเค้าจับเจ่าเรียงกัน

เห็นแต่นกแสกร้องแรกแหกขวัญ

เห็นแต่ฝูงผีร้องไห้หากัน

มนุษย์เราเอ๋ยอย่าหลงนักเลย

ไม่มีแก่นสารอุตส่าห์ทำบุญ

ค้ำจุนเอาไว้จะได้ไปสวรรค์

จะได้ทันพระพุทธเจ้า

จะได้เข้าพระนิพพาน



อะหังวันทามิสัพพะโส อะหังวันทามินิพพานะปัจจะโยโหตุ
------------------------------
อจิรํวตยํกาโย ปฐวึอธิเสสฺสติ ฉุฑฺโฑอเปตวิญฺญาโณ นิรตฺถํวกลิงฺครํ...



อีกไม่นานร่างกายนี้


จักปราศจากวิญญาณ


ถูกทอดทิ้งทับถมแผ่นดิน


เหมือนท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้


===============================================


บทความนี้ไม่ได้แต่งเอง แต่เป็นกลอนที่ท่องตอนเข้าค่ายปรับสภาพ ที่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย

ตอนนั้นก็ขำๆ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเห็นว่ามันจะมีเค้าความจริงแล้ว

บางคนอาจจะบ่นว่าทำไมต้องเอาบทความที่มีอยู่แล้วมาแปะไว้? ไหนบอกจะแต่งเรื่องให้อ่าน? จะแปะทำไม? ใครจะอ่าน?

ขอให้กลับไปอ่านชื่อบล็อกอีกทีนะครับ.....


"ทำดีกันให้มากๆนะครับ ฮ๋าๆๆๆ "

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2551

dreamstory

+ เด็กชายคนหนึ่ง มี "ความฝัน" เป็นเพื่อน


+ ตอนเด็กเขาชอบเล่นกับความฝันมาก เขารู้สึกว่าเวลาที่เขาอยู่กับความฝันเขาสามารถทำ อะไรได้ทุกอย่างที่ อยากจะทำ จนบางครั้งเขาก็โดนพ่อแม่ดุ ที่ไปเล่นกับความฝันมากเกินไป


+ วันหนึ่งพ่อแม่ก็ได้แนะนำเพื่อนใหม่ให้กับเขา เพื่อนใหม่คนนี้ชื่อว่า "ความจริง"


+ เด็กชายเข้ากับความจริง ได้อย่างรวดเร็ว และ ชวนไปเล่นกับความฝัน....


+ วันเวลาผ่านไปหลายปี ความจริง ก็บอกกับ เด็กชายว่า ให้เลิกคบกับความฝัน แล้ว ไปอยู่กับความจริงที่ บ้าน ของ ความจริงดีกว่า


+ เด็กชายไปปรึกษาพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็บอกว่า "ถึงเวลาที่ลูกต้องทิ้งความฝันไปหาความจริงได้แล้วล่ะ"


+ เด็กชายยังลังเล และความจริงก็ได้บอกอีกว่า "ที่บ้านของความจริงมีของเล่น และ ขนมเยอะแยะมากมายไปหมด เท่าที่ เด็กชายต้องการ"


+ เด็กชายจึงได้ตอบตกลง เขาได้ไล่ความฝันไป และไปอยู่ที่บ้านของ ความจริง...


+ หลังจากนั้น เด็กชายก็ได้เล่นของเล่นใหม่ ทุกวัน และได้ทานขนมทุกอย่างที่เด็กชายต้องการ ในบ้านของความจริง


+ แต่เด็กชายกลับปะหลาดใจที่ ทุกครั้งที่เล่นของเล่นหรือทานขนมนั้น เขาไม่เคยสนุกกับมันเลยแม้แต่ครั้งเดียว


+ เด็กชายพยายามครุ่นคิด และเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่ออยุ่กับความจริงแล้วไม่มีความสุขเมื่อเทียบกับอยุ่กับความฝัน


+ นานวันเข้า เขาก็เริ่มเบื่อที่จะเล่นของเล่นเดิมๆ และ ขนมรสเก่า และคิดถึงความฝัน มากขึ้น เด็กชายจึงไปบอกลาความจริง


+ ความ จริงบอกว่าถ้าเด็กชายจะอดทนได้หรือ หาก วันนึงไม่มีทั้งของเล่นและขนม เด็กชายเกิดความลังเล


+ ทั้งๆที่เขาอยากออกไปหาความฝัน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทิ้งที่แห่งนี้ไป เพราะเขากลัวที่จะไม่ได้เล่นของเล่นและกินขนมอีก


+ เขายอมอยู่บ้านของความจริงต่อไป เล่นของเล่น กินขนมแบบเดิมๆ เขาพยายามจะลืมความฝันให้ได้ ด้วยการเล่นและกินให้มากกว่าเดิม


+ หลายปีต่อมา เด็กชายเริ่มแก่ชรา ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่า เขาไม่สามารถลืมความฝันได้เลย หากวันนั้นเขาตัดสินใจออกจากบ้านของความจริงเพื่อเดินตามหาความฝัน เขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ เขาเป็นเพียงแค่ชายแก่ขี้แพ้ ที่ไม่มีแม้เรี่ยวแรงที่จะออกเดินทางตามหาความฝันได้อีกแล้ว......