วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ซอย



+วันนี้เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ฉันต้องเดินผ่านซอยเปลี่ยวนี้เพียงลำพังซอยดินลูกรังที่มืดสุดลูกหูลูกตา สองข้างทางเต็มไปด้วยป่ากก บริษัท ส่งของ รถพ่วงและ บ้านพักคนงาน กลางดึก เงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงกบและจิ้งหรีด มีเพียงแสงไฟจากบ้านพักคนงานที่ห่างกัน หลังละสิบเมตร ที่ส่องนำทางให้ฉันก้าวย่างต่อไปข้างใน...

+ทำไมฉันถึงต้องเดินผ่านซอยนี้น่ะเหรอ คำตอบง่ายๆก็คือ มันเป็นทางผ่านทางเดียวที่จะไปยังบ้านของฉันได้ ซอยนี้เป็นซอยเชื่อมระหว่างถนนหน้าบ้านของฉัน กับที่ทำงาน ในตอนกลางวัน ผู้คนสัญจรผ่านซอยนี้มากมาย เป็นเรื่องปกติ รวมทั้งฉันด้วย แต่วันนี้ งานที่ออฟฟิศมันเร่งมากจน ฉันต้องเลิกงานดึก และ จำเป็นที่จะต้องเดินผ่านซอยนี้

+ฉันเดินก้าวขาอย่างช้าๆ ทุกก้าวย่างของฉัน เต็มไปด้วยความกลัว และ หวาดระแวง หนทางอันมืดมิดข้างหน้านั้น จะมีสิ่งใดซ่อนอยู่ ใจของฉันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เรื่องราวลี้ลับที่ถูก ปู่ ย่า ตา ยาย เล่าให้ฟังสมัยฉันยังเด็ก ผุดออกมาเป็นดอกเห็ด สมองอันทรยศของฉันกำลังเรียบเรียงเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องราวที่น่ากลัวไปเรื่อยๆ ลมเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างของฉัน ทั้งที่เป็นช่วงหน้าร้อน แต่ฉันกลับขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ

+นี่ฉันคิดบ้าอะไรนี่!! ฉันพยายามรวบรวมสติ แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ สองตาของฉันมองเห็นแสงไฟ มีเงาตะคุ่มๆอยู่ไม่ไกล ถึงเขตบ้านพักคนงานแล้วเงาตะคุ่มนั้น หาใช่สิ่งลี้ลับไม่ หากแต่เป็น คนงาน ขนของและ ขับรถบรรทุกพวกเขาตั้งวง กินเหล้าขาว สังสรรค์กันหลังเลิกงาน เป็นประจำ แต่นี่ดึกมากแล้ว บางคนฟุบหลับไปกับโต๊ะ บางคนพูดจาเสียงยานคางฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันสังเกตว่าใน ณ เวลานี้ มีวงเหล้า ไม่ต่ำกว่า ห้าวง

+ทุกสายตาจ้องมองฉันเหมือนเป็นตัวปะหลาด ตอนนี้ฉันตกเป็นผู้หญิงคนเดียวกลางดงผู้ชายฉกรรณ์ ดุจดั่ง เนื้อในกรงเสือ สายตาที่จ้องมองฉัน ดูจะไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก ร่างกายอันกำยำ ผิวหนังมันวาวเมื่อกระทบแสงไฟ เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ฉันตัดสินใจ ก้มหน้า แล้วเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว ภาวนา อย่าให้เกิดอะไรร้ายๆกับตัวฉันเลย

+"จะไปไหนเหรอครับ" ฉันขนลุกเมื่อได้ยินเสียงนี้ แล้วหันไปมองเขาอย่างช้าๆ หัวใจเต้นรัว ดังราวกับฟ้าผ่า

"ผมจะไปตรงท้ายซอยพอดี ไปด้วยกันไหม" เขายิ้มอย่างเป็นมิตรใจของฉัน สับสนเป็นที่สุด คิดไตร่ตรองอย่างหนัก และจินตนาการเรื่องที่จะเกิดขึ้น

"ค่ะ!!! รบกวนด้วยนะคะ " และแล้ว ฉันก็ตัดสินใจติดรถไปกับเขา



+ฉันชวนเขาคุยระหว่างทาง เพื่อลดความตึงเครียด

"คุณเดินทางยามค่ำคืนในซอยเปลี่ยวแห่งนี้ไม่กลัวบ้างหรือคะ"

"กลัวอะไรล่ะครับ"

"อย่างเช่น โจร หรือว่า ผี " "ฉันผ่านทางนี้ เคยได้ยินมาบ้างว่า แถวนี้มี อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย เพราะถนนหนทางไม่ดี ซ้ำยังเป็นที่มืด"

"หึๆ ตอนแรกๆก็กลัวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่แล้วล่ะครับ ผมเดินทางมาหลายปีแล้ว ถ้าผีมีจริง ก็คงต้องเจอแล้วล่ะครับ จะว่าไปแล้วคนยังน่ากลัวกว่าผีอีกนะครับ คุณว่ามั๊ยล่ะ"

"อืม ก็จริงของคุณ เมื่อกี้ฉันกลัวมาก ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าไม่ได้คุณคงแย่แน่ ขอบคุณนะคะ "

"ไม่เป็นไรครับ เรื่องเล็กน้อย"

"เดี๋ยวถึงทางแยกข้างหน้า จอดด้วยนะคะ ถึงบ้านฉันแล้ว"

"ครับ"

+บ้านสองชั้น แสงไฟสลัวๆ ห้อมล้อมด้วยป่าสน เขาจอดรถส่งให้ฉันลง ฉันขอบคุณเขาอีกครั้ง แล้วมองดูรถของเขาจากไปจนลับตา แสงไฟท้ายรถสีแดงค่อยๆหายไปในความมืด ถึงซะที่ ฉันเดินไปยังที่หมาย ในใจคิดถึงคำพูดของเขา คนหรือผีกันแน่ที่น่ากลัวกว่ากันในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่เชื่อในเรื่องผี เขาไม่เคยเจอผี ฉันแอบหัวเราะในใจว่า นึกถึงใบหน้าคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีอย่างเขา ถ้าเจอผีแล้วจะเป็นอย่างไร ฉันเดินผ่านบ้านหลังนั้นไป มันไม่ใช่บ้านของฉัน......



+งานของผมจำเป็นต้องทำจนดึก ทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็ต้องขี่รถมอเตอร์ไซค์ ผ่านซอยแห่งนี้ จนชิน มันเป็นทางลัดทางเดียวที่จะไปถึงบ้านผมได้ใกล้ที่สุดมันเป็นทางเดียวที่การพักผ่อนของผมจะมีมากขึ้น

+ในความเงียบสงัดนั้น บรรยากาศรอบข้างช่างวังเวง มืดมิด มีเพียงแสงไฟหน้ารถ และไฟจากบ้านพักคนงานเท่านั้น ลมพัดป่ากก ปลิวสไวเป็นจังหวะ กระทบต้นคอผม มันเย็นจนผมสั่นสะท้าน หากผมเป็นคนขวัญอ่อน สติสตังคงแตกกระเจิงไปแล้ว แต่ในขณะนี้ผมง่วงเกินกว่าที่จะคิดเรื่องเหล่านั้น

+คนงานในระแวกนี้น่ากลัว และไม่เป็นมิตร ผมเคยได้ยินข่าวลือมาว่า พบศพหญิงสาวพนักงานออฟฟิศ ถูกฆ่า ข่มขืน และ ชิงทรัพย์ อยู่แถวๆป่าสนท้ายซอย ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือคนงานที่นี่ แต่ก็ยากที่จะจับมือใครดม เคราะห์ยังดีที่ผมยังมีรถมอเตอร์ไซค์ อย่างน้อยก็ซิ่งหนีพวกมันทันก็แล้วกัน

+ผมเจอหญิงสาวคนหนึ่ง วันนี้เธอเลิกงานดึก บ้านเธออยู่ตรงท้ายซอย ผมจึงอาสาพาเธอไปส่งที่บ้าน เพราะผมก็ต้องผ่านทางนั้นอยู่แล้ว อีกอย่าง การมีเพื่อนคุยระหว่างทางคงจะช่วยให้ผมหายง่วงได้บ้าง

+ระหว่างทาง เธอก็ชวนผมคุยแก้ง่วง เธอถามผมว่าเชื่อเรื่องผีไหม ผมว่ามันตลกสิ้นดี "ถ้าผีมีจริงผมคงเจอไปนานแล้ว" ผมตอบเธอย่างนั้น

+ผมส่งเธอลงที่หน้าบ้าน แล้วผมก็ขับรถออกมา ในใจครุ่นคิดว่า สถานการณ์อย่างนี้ ยังมีหลายอย่างที่น่ากลัวกว่าผีอีกหลายเท่านัก ไม่ว่าจะเป็นคนความมืด ความง่วง ตลอดจนถนนหนทางที่ง่ายต่อการเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้

+ทางข้างหน้าผมเป็นโค้งหักศอก แสงไฟหน้ารถ ทำให้ผมมองเห็นซากป้ายบอกทางที่หัก เพราะอุบัติเหตุ ธูป เทียนและของเซ่นไหว้ ที่วางอยู่ตรงพื้น ถ้าเลี้ยวซ้ายไปอีกไม่กี่สิบเมตร ก็จะถึงบ้านผม แต่ตอนนี้ผมต้องขับตรงไป.......

3 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เหี้ยผู้ชายคนนั้น แสรดดด คิดได้นะ som

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

หุหุหุ น่ากัว

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

น่าสงสารเนอะ






.......bo