วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2551

ทุ่งดอกไม้ทางเลือก



+ สุดา เด็กสาววัย 18 ปีได้ตื่นขึ้นมา กลางทุ่งดอกไม้แห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มีดอกไม้สวยงาม แปลกตา และมีหลากหลายพันธุ์ เต็มไปหมด เธอจำไม่ได้เลยว่าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร ทุ่งดอกไม้แห่งนี้ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

+เมื่อมองไปรอบๆ เธอก็ได้เห็นว่า ยังมีคนอื่นๆ อยู่ในทุ่งแห่งนี้มากมายไปหมด ทุกคนล้วนสาละวนอยู่กับการดึงดอกไม้ เธอยังสังเกตได้อีกว่า ดอกไม้ที่นี่นั้น ดอกไม้ในทุ่งแห่งนี้มี ดอก ผล หลายแบบ แทบไม่มีต้นใดซ้ำกันเลย แต่ ส่วนลำต้นของมันนั้น จะมีลักษณะที่คล้ายกัน คือจะมีหนามเล็กๆเต็มไปหมด บางพันธุ์ เป็นก็ไม้เลื่อย ที่ลำต้นพันกัน ยุ่งเหยิงพัลวันไปหมด และผู้คน ที่ดึงต้นไม้เหล่านั้น ต่างทำหน้าตาที่แสดงถึงความเจ็บปวด ทรมานเป็นอย่างมาก บางคนถึงกับสลบไป บางคนก็เดินหนีจากดอกนั้น เพื่อที่จะไปดึงดอกใหม่สุดางุนงง และ สงสัยว่า คนเหล่านั้นดึงดอกไม้พวกนั้นไปทำไม

+แล้วโชคก็เข้าข้าง สุดาพบหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินผ่านมา ในมือของเธอถือดอกไม้อยู่ 1 ต้น สุดาจึงเดินเข้าไปถามเธอถึงสาเหตุ และ ข้อสงสัยต่างๆ หญิงวันกลางคนได้อธิบายให้ฟังว่า ทุ่งดอกไม้แห่งนี้มีชื่อว่า “ ทุ่งดอกไม้ทางเลือก ” กล่าวกันว่า ในการเดินทางจากหมู่บ้านไปยังเมืองหลวงนั้น จะต้องเดินทางผ่านทุ่งดอกไม้แห่งนี้ และที่แห่งนี้ จะมีดอกไม้ที่เกสรของมัน มีฤทธิ์หลอนประสาท หากสูดดมเข้าไปแล้ว จะงุนงง จำอะไรไม่ได้ และจะไม่สามารถเดินออกไปจากสวนแห่งนี้ได้เลย มีทางเดียวเท่านั้นที่จะออกไปจากสวนแห่งนี้ได้ก็คือ ต้องดึงต้นไม้แล้วนำรากของมันมากินแก้พิษ จากนั้นก็จะสามารถเดินออกจากทุ่งแห่งนี้ไปได้เอง เราจะสามารถดึงต้นไม้ต้นไหนก็ได้ แต่หากดึงต้นที่ ไม่เหมาะกับตัวเอง ร่างกายก็จะทนพิษของต้นไม้ตนนั้นไม่ได้ เพราะพิษของแต่ละดอกนั้นแตกต่างกันบางคนถึงขั้นพิการไปเลย เมื่อพูดจบหญิงวันกลางคนก็ได้กินรากของดอกไม้ในมือนั่นแล้วเดินจากไป สุดาฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เธอรู้แต่เพียงว่า ต้องดึงต้นไม้ต้นที่เหมาะกับตัวเองขึ้นมาแล้วกินรากของมันเสีย แต่ทุ่งแห่งนี้มีดอกไม้เยอะเหลือเกิน ต้นไหนๆก็น่าดึงไปซะหมด สุดาบ่นพึมพำพร้อมกันเดินไปตามทางของทุ่งแห่งนั้น แล้วเธอจึงตัดสินใจดึงต้นไม้ที่อยู่ข้างๆมือเธอเนื่องจากเธอขี้เกียจเดินแล้ว ดอกไหนก็เหมือนๆกัน แต่ทันทีที่มือเธอได้สัมผัสกับลำต้นของดอกไม้นั่น เธอก็ชาไปทั้งตัว มีอาการตาลาย แล้วเธอก็หมดสติไป

+พอฟื้นขึ้นมาอีกรอบ เธอได้เห็นความน่ากลัวของการดึงต้นไม้ที่ไม่เหมาะกับตัวเอง เธอจึงเดินหาต้นใหม่ แล้วเธอก็เจอกับต้นไม้อยู่พุ่มหนึ่ง มีดอกไม้ที่สวยงานและหอมหวล เธอคิดว่าดอกไม้พุ่มนี้แหละที่เธอจะเด็ดมัน แต่มันมีอยู่หลายต้น ไม่รู้ว่าจะดึงต้นไหนดี

+เธอจึงเลือกดึงดอกซ้ายสุด เธอพบว่าร่างกายของเธอสามารถทนพิษของดอกไม้ต้นนี้ได้พอสมควร เธอดีใจมาก แต่เมื่อออกแรงดึง ความเจ็บปวดก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทนไม่ไหว เธอจึงเลิกดึงแล้วมาดึงต้นถัดมา เธอก็พบว่าพิษของดอกไม้แต่ละต้นจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แต่พอ ออกแรงดึง พิษของมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทนไม่ไหว...

+เวลาผ่านไป สุดาดึงดอกไม้ในพุ่มนั้นครบทุกต้น แต่เธอก็ไม่สามารถดึงดอกไม้ดอกไหนได้เลยแม้แต่ดอกเดียว เธอท้อใจแล้วนอนหมดอาลัยตายอยากอยู่ข้างพุ่มไม้ เธอครุ่นคิดว่า “ทำไมดอกไม้ที่มีดอกสีสวยงามแปลกตา มีกลิ่นหอมหวลนั้น จะต้องมีลำต้นที่มีพิษร้ายแรงแบบนี้ด้วย และไม่ว่าจะเป็นดอกไหนๆก็มีพิษที่สร้างความเจ็บปวด ด้วยกันทั้งนั้น”

+ระหว่างที่เธอกำลังหมดอาลัยตายอย่างอยู่นั้น เธอก็ได้เห็นชายชราคนหนึ่งที่เดินไปเดินมาหาดอกไม้ที่ที่เขาจะดึงไปรอบๆ แต่เขาก็ยังหาไม่เจอเลย และเขาก็แก่มากแล้ว ยิ่งแก่ก็ยิ่งลำบาก บางทีเขาอาจตายอยู่ในทุ่งแห่งนี้ก็เป็นได้ สุดากลัวที่จะเป็นแบบชายชราคนนั้นแล้วเธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เธอหันหน้ากลับไปที่พุ่มไม้นั่น แล้วมองดูดอกไม้ต้นที่เธอชอบที่สุด แล้วคิดว่ายังไงก็จะต้องดึงต้นนี้ให้ได้ ว่าแล้วเธอก็พยายามที่จะดึงมันอย่างเอาเป็นเอาตายโดยไม่กลัวความเจ็บปวด

+หลายวันผ่านไป เธอได้พบว่า ร่างกายของเธอ สามารถที่จะทนพิษนั้นได้ทีละนิดๆ ถึงวันนี้เธอรู้สึกว่ามันไม่เจ็บแล้ว “ นี่คงเรียกว่าภูมิคุ้มกันสินะ” เธอกล่าว พลางดึงดอกไม้อย่างสุดแรงจนหลุดออกมาเธอดีใจมากแล้วเธอก็รีบนำรากของมันมากิน แล้วเธอก็หมดสติไปอีกครั้ง...

+เมื่อเธอได้สติอีกทีก็พบว่าเธอยืนอยู่ตรงหน้าประตูของเมืองหลวงแล้ว เธออึ้งไปชั่วครู่ “และแล้วเราก็ทำสำเร็จจนได้” เธอคิดในใจ เธอเดินเข้าไปในเมืองอย่างตื่นเต้นและดีใจกับการต้อนรับของชาวเมืองหลวง แต่มีเรื่องนึงที่เธอยังข้องใจเล็กน้อย ...............

+เพื่อคลายความสงสัย เธอจึงได้ถามกับยามเฝ้าประตูว่า เธอมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ยามเฝ้าประตูบอกกับเธอว่า “ผู้ใดที่ได้กินรากของดอกไม้ในทุ่งดอกไม้ทางเลือกแล้วจะหมดสติ แต่จะสามารถเดินมายังเมือหลวงได้ด้วยสัญชาติญาณของตัวเองทุกคน แล้วจะมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถึงประตูเมืองหลวงแล้ว".......